เรากำลังรักษาหรือฆาตกรรมชายหาด!

by Little Bear @23 พ.ค. 57 21:49 ( IP : 49...139 ) | Tags : บทความ

เมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 2552 ที่ผ่านมามีโอกาสเดินทางไปแถบถนนเก้าเส้ง ทอดยาวไปถึงชายหาดชลาทัศน์  บริเวณแหลมสมิหลา จังหวัดสงขลา แนวต้นสนที่บางตาลง เห็นกระสอบทราย กองหิน ล้อยางรถยนต์วางกองเรียงรายบนฟุตบาธถนน เห็นป้ายประกาศเตือนขนาดเขื่องว่า “ระวังต้นสนล้มทับ” เดินลงไปสำรวจแนวชายหาดพบว่ามีการนำล้อยางรถยนต์เก่าที่ไม่ใช้งานมารียงรายบริเวณแนวชายหาดและซ้อนทับด้วยกระสอบทราย  ภาพที่เห็นไม่แน่ใจว่าคือประติมากรรมหรือนวตกรรม ที่เกิดจากความรู้ ภูมิปัญญาหรือเป็นการทดลองเทคโนโลยีใหม่กันแน่  คำถามที่เกิดขึ้นในหัวใจคือเรากำลังปฐมพยาบาลบาดแผลของชายหาด เพื่อปกป้องรักษาชายหาดไว้ให้ลูกหลานในอนาคต หรือเรากำลังวางยาเพื่อฆาตกรรมชายหาดให้ค่อยตายไป  แล้วสุดท้ายก็ไม่รู้ว่าใครเป็นฆาตกร  เข้าใจความรู้สึกของการแก้ไขปัญหาโดยการเอาล้อยางรถยนต์มาวางเรียงรายบนชายหาดนั้นเฉพาะหน้า โดยมีเป้าหมายเพื่อชะลอความแรงของคลื่น ไม่ให้กัดเซาะชายหาดพังหรือป้องกันไม่ให้ต้นสนล้ม  แต่ในความเป็นจริงเพียงแค่ล้อยางรถยนต์และกระสอบทรายไม่สามารถแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายหาดชลาทัศน์ได้เลยได้  เพราะเป็นการแก้ไขปัญหาที่ปลายเหตุเท่านั้น

โจทย์ใหญ่ที่ควรคิดในเวลานี้คือการพังทลายของชายหาดอะไรคือต้นตอของปัญหากันแน่?  เพราะในเวลานี้คลื่นลมแรงและภาวะโลกร้อนกำลังตกเป็นจำเลย ของการพังทลายของชายหาด

คำถามคือชายหาดในวันนี้บาดเจ็บแสนสาหัสเกินกว่าเยียวยาแล้วจริงหรือ? หรือเรากำลังใช้วิธีการเยียวยาปฐมพยาบาลที่ผิดทิศผิดทางกันแน่  มีใครบ้างคนเคยพูดว่าชายหาดสงขลาตายแล้ว มีคนบางกลุ่มต้องการทำให้ตาย เพื่อให้ชายหาดหมดความสวยงามและหมดคุณค่าที่จะปกป้องรักษา เพื่อสร้างความชอบธรรมในการทำลายชายหาดด้วยการก่อสร้างท่าเทียบเรือน้ำลึกสงขลาแห่งที่สองในอนาคต

ภาพชายคนหนึ่งกำลังนอนเอกเขนกพักผ่อนร่างกายบนกองถุงทรายที่วางเรียงรายโอบอุ้มโค่นต้นสน แทนที่เขาจะได้ทอดกายลงบนชายหาดที่ขาวสะอาด ได้สัมผัสกับเม็ดทรายที่ละเอียดเยียดยาว เขากลับต้องนอนทอดกายบนถุงทรายที่แข็งกระด้าง เราจะยังปล่อยให้การดูแลและแก้ปัญหาการกัดเซาะชายหาดพังเป็นหน้าที่ของผู้บริหารบ้านเมืองและกลุ่มผลประโยชน์ เป็นผู้ผูกขาดความคิดในการแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายหาดเช่นนี้ต่อไป

ต้นตอของปัญหาการกัดเซาะชายหาดที่แท้จริงเกิดจาก การสร้างสิ่งก่อสร้างรุกล้ำชายฝั่งทั้งหลายทั้งของท้องถิ่นและหน่วยงานภาครัฐส่วนกลาง โครงการสร้างเขื่อนกันทรายและเขื่อนกันคลื่น ของกรมเจ้าท่าปัจจุบันเปลี่ยนเป็นกรมการขนส่งทางน้ำและพาณิชยนาวี เพื่อแก้ไขการตกตะกอนของทรายบริเวณร่องน้ำปากบางคลองสะกอมและปากบางคลองนาทับ อำเภอจะนะ จังหวัดสงขลา  เขื่อนบริเวณปากคลองสะกอมเป็นเขื่อนหินทิ้ง 2 ตัว ความยาวประมาณ 620 เมตรและสร้างเกาะกันกัดเซาะบริเวณด้านทิศเหนือของเขื่อนอีกจำนวน 4 ตัว

หลังจากการสร้างเขื่อนดังกล่าวปรากฎว่าไม่สามารถกั้นทรายได้จริง เพราะชาวบ้านในพื้นที่ตำบลสะกอมเล่าว่าทุกปีกรมเจ้าท่ายังต้องใช้เรือขุดลอกปากคลองเป็นประจำทุกปี และในปี2541 หลังจากการสร้างเขื่อนกันทรายกันคลื่นชายหาดสะกอมถูกน้ำทะเลกัดเซาะอย่างรุนแรงและพังทลายลง โดยในปีแรกชายฝั่งของบ้านบ่อโชนถูกกัดเซาะกว่า 10 เมตร ขณะนี้ถูกกัดเซาะลึกถึง 80 เมตร ระยะทางกว่า 3 กิโลเมตร  วิธีเหล่านี้วิศวกรผู้ออกแบบเชื่อว่าจะแก้ไขปัญหาชายหาดพังได้  แต่ในความเป็นจริง ส่งผลให้เกิดการพังทลายอย่างรุนแรงของชายหาดตั้งแต่อำเภอเทพา ตำบลสะกอม ตำบลนาทับ บ้านบ่ออิฐ บ้านเก้าเส้งเป็นระยะยาวตลอดแนวชายฝั่งทะเลอ่าวไทย ถนนบริเวณบ้านปึก บ่ออิฐยังถูกคลื่นกัดเซาะทุกปีและในปีนี้สุสาน(กุโบร์)บ้านปึกถูกคลื่นกัดเซาะจนพังทั้งที่มีแนวหินกั้นคลื่นตลอดแนวชายหาด

ปัจจุบันชาวบ้านในพื้นที่ตำบลสะกอมได้ยื่นฟ้องคดีต่อกรมการขนส่งทางน้ำและพาณิชยนาวีและอธิบดีที่ศาลปกครองจังหวัดสงขลา ในความผิดเกี่ยวกับการกระทำละเมิด เพราะการสร้างเขื่อนกั้นทรายและคลื่นทำให้เกิดปัญหาการกัดเซาะชายหาดเสียหายกระทบกับการทำมาหากิน

ความเชื่อว่าเขื่อนกั้นทรายกั้นคลื่นเป็นต้นเหตุของปัญหาการเกาะเซาะชายหาดไม่ใช่การกล่าวอ้างลอยๆหรือเป็นการโยนความผิดให้ใคร เห็นได้จากงานศึกษาวิทยานิพนธ์ การเปลี่ยนแปลงของชายฝั่งลุ่มน้ำปากพนังของอาจารย์ปรารถนา ฤทธิ์พริ้ง ได้อ้างข้อมูลการศึกษาของกรมเจ้าท่าว่า “เมื่อเวลาผ่านไป 20 ปีจะมีการกัดเซาะชายฝั่งเกิดขึ้นทางทิศเหนือของตัวเขื่อนเป็นระยะประมาณ 18 กิโลเมตรจากเส้นชายฝั่ง”  หรือแม้แต่รายงานผลการตรวจสอบของคณะกรรมการสิทธิ์มนุษยชนแห่งชาติ ตามหนังสือร้องเรียนขอให้ตรวจสอบโครงการก่อสร้างเขื่อนริมทะเลทำลายชายหาดจังหวัดสงขลาระหว่างบ้านนาทับ อำเภอจะนะและบ้านบ่ออิฐ อำเภอเมือง จังหวัดสงขลา มีความเห็นว่าการกัดเซาะชายฝั่ง ต้นเหตุของปัญหาคือ การสร้างเขื่อนกันคลื่นกันทรายที่ยื่นออกไปในทะเลบริเวณปากคลองและปากแม่น้ำ ซึ่งก่อสร้างกรมการขนส่งทางน้ำฯทราบผลการศึกษาว่าด้านหนึ่งจะเกิดทรายงอก อีกด้านหนึ่งจะมีการกัดเซาะชายฝั่งขึ้นอยู่กับความยาวของเขื่อนกันคลื่นและกันทรายที่ยื่นออกไปในทะเล โดยเสนอมาตรการการแก้ไขปัญหา คือ “ให้กรมการขนส่งทางน้ำและพาณิชยนาวี รื้อเขื่อนด้านทิศเหนือของคลองนาทับที่เป็นต้นเหตุของการกัดเซาะทั้งหมด และลดขนาดความยาวของเขื่อนด้านทิศใต้ให้มีขนาดที่เหมาะสม”และให้กรมการขนส่งทางน้ำและพาณิชยนาวี”ยุติการสร้างเขื่อนป้องกันการกัดเซาะชายฝั่งบริเวณที่มีการก่อสร้างเขื่อนกันทรายและบริเวณปากคลองและปากแม่น้ำ”

นี่คงเป็นคำตอบได้ว่าการแก้ปัญหาชายหาดแบบนี้มาถูกทางหรือไม่ บ่อยครั้งที่งานด้านวิศวกรรมมองแต่วัตถุและสิ่งก่อสร้าง แต่ไม่ถูกหลักและกฎของธรรมชาติ การแก้ไขปัญหาของธรรมชาติ เราต้องเข้าใจธรรมชาติของคลื่นด้วย นักสมุทรศาสตร์เคยบอกว่าคลื่นทะเลควรปล่อยให้มันซัดอย่างเป็นอิสระอย่าไปขวางกั้น การที่คลื่นปะกับสิ่งก่อสร้างจะเพิ่มความแรงขึ้นและทำให้เกิดความเสียหายอย่างรุนแรงในวงกว้างขึ้น  เราลองนึกไปถึงเหตุการณ์สึนามิคนรอดชีวิตจากคลื่นยักษ์ เพราะป่าชายเลนที่เป็นปราการสำคัญในการปกป้องชีวิตและทรัพย์สินของผู้คน วันนี้คงพิสูจน์แล้วว่าหิน อิฐ ปูนไม่สามารถปกป้องชีวิตและทรัพย์สินของผู้คนตลอดแนวชายหาดได้

ที่สำคัญเราควรหยุดการโฆษณาชวนเชื่อว่าการพังทลายของชายหาดพังต้นเหตุมาจากคลื่นและโลกร้อน ส่งผลให้น้ำแข็งขั้วโลกละลายน้ำทะสูงขึ้นทำให้คลื่นลมในทะเลสูงขึ้นและคลื่นลมแรง มนุษย์ควรหยุดโยนบาปให้ธรรมชาติ พอหรือยังกับการสร้างวาทกรรมทางวิชาการเหล่านี้เพื่อให้สังคมหลงเชื่ออย่างผิดๆ ถึงเวลาแล้วหรือยังที่นักวิชาการที่มีความรู้มีการศึกษาเหล่านี้จะพูดความจริงว่าที่ชายหาดพัง เป็นเพราะฝีมือมนุษย์ จำเป็นต้องบอกความจริงและให้ความรู้ทางวิชาการที่ถูกต้อง เพื่อสร้างการเรียนรู้และการรับรู้ของสังคมด้วยความรู้ที่ถูกต้องไม่ใช่ความรู้ที่ครอบงำหรือหมกเหม็ดซ่อนเร้นด้วยตัวเลขงบประมาณมหาศาลในโครงการต่างๆที่จะใช้เป็นมาตรการป้องกันชายหาดพัง    ซึ่งเป็นทั้งการที่ผูกขาดแนวทางการแก้ไขปัญหา ทั้งที่ยังมีนักวิชาการที่มีความรู้  ที่สำคัญยังมีชุมชนที่อยู่ใกล้ชิดกับชายหาดมาตลอดชีวิต สั่งสมความรู้ในการเฝ้ามอง เฝ้าสังเกตความเปลี่ยนแปลงไปของชายหาดจนเกิดเป็นภูมิปัญญา

ชาวบ้านที่อยู่กับทะเลมาชั่วชีวิตเล่าว่าสมดุลของชายฝั่งจะผันแปรตามฤดูกาล มีการกัดเซาะและคืนสภาพ ในช่วงฤดูมรสุมทรายชายหาดจะจะถูกหอบไปกองเป็นสันดอนใต้น้ำ และนำกลับคืนมาในฤดูแล้งเป็นวัฎจักรเช่นนั้นนี้มาอย่างต่อเนื่อง ทำให้ปัญหาการกัดเซาะที่เกิดขึ้นไม่รุนแรง ต่างจากเมื่อมีการสร้างเขื่อนกั้นทรายกันคลื่น  ดังนั้นสิ่งก่อสร้างล่วงล้ำทางน้ำไม่ว่าเขื่อนกันทรายและกันคลื่น ท่าเทียบเรือน้ำลึก หรือการปลูกสร้างอาคารรุกล้ำลงไปในทะเล คือต้นเหตุสำคัญของปัญหาการกัดเซาะชายหาดไม่ใช่คลื่นลมในทะเลหรือภาวะโลกร้อน คนสงขลาคงไม่ลืมว่าหลังจากที่มีการสร้างท่าเทียบเรือน้ำลึกที่สิงนครส่งผลให้ธรรมสถานหาดทรายแก้วถูกกัดเซาะจากเนื้อที่ราว 80 ไร่ ปัจจุบันเหลือเนื้อที่ไม่เกิน 1 ไร่

ชายหาดชลาทัศน์เป็นแค่ตัวอย่างหนึ่งของปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งทะเล ถึงเวลาแล้วหรือยังที่จะมีการทบทวนแนวทางการแก้ไขปัญหาของชายหาด และหยุดสร้างสิ่งล่วงล้ำทางน้ำในรูปต่างๆ เช่น เขื่อนกั้นทรายและคลื่น ท่าเทียบเรือน้ำลึก  และยกระดับการแก้ปัญหาการพังทลายของชายหาดเป็นเรื่องราวของสาธารณะที่ประกอบด้วยนักวิชาการที่หลากหลายมุมมอง การมีส่วนร่วมของชุมชนอย่างแท้จริง ประกอบกับหน่วยงานในการดูแลทรัพยากรชายหาดชายฝั่งไม่ใช่จากแนวคิดผูกขาดของผู้บริหารฯและนักเทคโนโลยีบางคนบางกลุ่มเท่านั้น  การแก้ไขปัญหาการกัดเซาะคงแก้ไม่ได้ด้วยหลักและความเชื่อทางด้านเทคนิควิศวกรรมศาสตร์เท่านั้น แต่ต้องอาศัยภูมิปัญญาของชาวบ้านและหลักของการเคารพและการเข้าใจธรรมชาติร่วมด้วย

เราควรใช้หลักอริยสัจสี่ในการมองปัญหาการกัดเซาะชายหาด ก่อนอื่นต้องหาต้นเหตุแห่งทุกข์ให้พบว่าอะไรคือต้นตอของปัญหาที่ทำให้เกิดทุกข์ในเวลานี้ เมื่อเจอต้นเหตุแล้วเรายอมรับกับต้นเหตุนั้นหรือไม่ จากนั้นใช้สติปัญญาพิเคราะห์พิจารณาแล้วหาทางออกจากปัญหา เราจึงจะพ้นทุกข์และสามารถรักษาชายหาดไว้ให้ลูกหลาน

หากปล่อยการแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายหาดเป็นเรื่องของคนบางกลุ่มเช่นนี้ต่อไป  ผลงานสุดท้ายที่จะทำเพื่อชายหาดคงไม่พ้นการจัดงานฌาปนกิจ แล้วเก็บเถ้ากระดูกของชายหาดไว้ในความทรงจำของผู้คนที่เคยพบเห็นความงดงามของชายหาดไว้ตลอดไป

ที่มา blogazine.in.th